เมื่อพูดถึงหนังกลับ หลาย ๆ ท่านอาจนึกถึงวัสดุที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับการใช้งานในวันที่ฝนตกหรือต้องเปียกน้ำกันสักเท่าไหร่กันใช่ไหมครับ แต่ทว่าในปัจจุบัน นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้เปลี่ยนความเป็นไปของหนังกลับไปอย่างสิ้นเชิงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ทำให้หนังกลับในปัจุบันไม่เพียงแต่ทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่ยังสามารถป้องกันน้ำได้ดี เทียบเท่า หรือแม้กระทั่งดีกว่าหนังประเภทอื่น ๆ ก็สามารถพูดได้เลยนะครับ
courtesy / conceria opera
และในวันนี้ คิวเรทแอนด์โคจะขอเรียนเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านไปสำรวจโรงฟอกหนังกลับชั้นนำทั้ง 3 แห่ง ต่อจากครั้งที่แล้วที่เราได้ไปรู้จักกับ 2 โรงฟอกหนังเรียบสัญชาติฝรั่งเศส กันมาแล้วนะครับ โดยในวันนี้เราจะข้ามมากันที่ฝั่งของอังกฤษ และอิตาลีกันบ้างครับ
มาเริ่มกันที่เมืองลีดส์ ที่ประเทศอังกฤษกันนะครับ ที่นี่มีโรงฟอกหนังกลับที่ในวงการผู้ผลิตรองเท้า และเครื่องหนังชั้นนำทุกเจ้าจำเป็นจะต้องรู้จักนะครับ โรงฟอกหนังกลับแห่งนี้มีชื่อว่า ชาลส์ เอฟ. เสต้ด นั่นเองครับ (Charles F. Stead)
courtesy / a & a crack & sons
โรงฟอกแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1825 ในเมืองลีดส์ โดยเป็นธุรกิจครอบครัวที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี และเป็นที่ยอมรับทั่วโลกในเรื่องการผลิตหนังกลับและหนังคุณภาพสูง โรงฟอกส่งมอบหนังกลับคุณภาพให้กับแบรนด์ผู้ผลิตรองเท้ารองเท้า แบรนด์เครื่องหนัง รวมถึงแฟชั่นเฮ้าส์ชั้นนำทั่วโลก และแน่นอนว่าแบรนด์รองเท้า Berwick 1707 และแบรนด์รองเท้า Carmina Shoemaker ก็เป็นหนึ่งในคู่ค้าเจ้าสำคัญกับโรงฟอกแห่งนี้ด้วยเช่นกันครับ
โรงฟอกชาลส์ เอฟ. เสต้ด (Charles F. Stead) มีชื่อเล่นสั้น ๆ เป็นที่รู้จักกันในวงการผู้ผลิตเครื่องหนังว่าโรงฟอกเสต้ดส์ (Steads) โดยโรงฟอกมีขั้นตอนการผลิตหนังกลับที่ใช้เวลานานถึง 4-6 สัปดาห์ ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มจนจบ พร้อมส่งหนังกลับที่เสร็จสมบูรณ์ออกจากโรงฟอกมากถึงกว่า 10 ขั้นตอนขึ้นไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหนังกลับคุณภาพสูงที่ทนทานและย่อยสลายได้ตามธรรมชาติอีกด้วยนั่นเองครับ
หนึ่งในหนังกลับที่ขึ้นชื่อจากโรงฟอกเสต้ดก็คือ Rapello Gum-Oiled Suede ซึ่งมีความนุ่มเป็นพิเศษ แต่ยังคงความทนทานไว้ได้จากการผ่านกระบวนการการลงกัมออยล์ที่เพิ่มความสามารถในการกันน้ำ ทำให้หนังชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และหนังยังพัฒนาลุคที่สวยงามและดูคลาสสิกขึ้นเมื่อใช้นานไปได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วยครับ
กัมออยล์ (Gum oil) คือน้ำมันยางประเภทหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตหนังโดยเฉพาะหนังกลับ (Suede) ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยเพิ่มความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น น้ำ ความชื้น และการใช้งานที่หนักหน่วง การใช้กัมออยล์ในกระบวนการฟอกหนังนั้นจะช่วยให้หนังมีความนุ่มและสัมผัสที่ดีขึ้น รวมทั้งช่วยป้องกันน้ำซึมเข้าสู่เนื้อหนัง การใช้กัมออยล์นี้ยังส่งผลให้หนังพัฒนาสีและพื้นผิวที่ลุ่มลึกมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปได้อีกด้วยครับ
จากนั้นข้ามฝั่งกันมาที่อิตาลีกันบ้างนะครับ อีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กันสำหรับการผลิตหนังกลับก็คือเมืองซานตาโครเช ซุลลาร์โน ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในแคว้นปิซาของอิตาลีครับ โดยโรงฟอกแห่งที่ 2 ที่อยากพามารู้จักในวันนี้ก็คือโรงฟอกโอเปร่า หรือ Conceria Opera นั่นเองครับ โดยที่คอนเชียโรเปราตั้งอยู่ช่วงกึ่งกลางระหว่างปิซ่า กับฟลอเรนซ์ครับ คอนเชียโรเปราเป็นโรงฟอกหนังกลับที่ดำเนินกิจการมากว่า 30 ปี มีความเชี่ยวชาญในการผลิตหนังกลับเป็นหลัก
courtesy / conceria opera
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของคอนเชียโรเปราก็คือ Go Rain Suede ซึ่งเป็นหนังกลับที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถกันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอากาศสามารถไหลผ่านได้ แต่หยดน้ำไม่สามารถซึมผ่านหนังได้ จึงทำให้ Go Rain Suede เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับรองเท้า กระเป๋า เสื้อแจ็กเก็ต และเครื่องประดับที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะครับ
courtesy / conceria opera
และแน่นอนครับ Berwick 1707 ก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญอีกแบรนด์หนึ่งที่ได้มีการเลือกใช้หนังกลับ Go Rain จากโรงฟอกโอเปร่าด้วยเช่นกันครับ โดยในคอลเลคชัน Sports Moccasin Flex Walk ก็มีหนังกลับ Go Rain ไว้ให้เลือกกันหลากหลายเฉดสีด้วยกันเลยนะครับ
จากนั้นเพียง 10 นาทีเดินจาก Conceria Opera ก็จะมาถึงโรงฟอกหนังกลับขนาดเล็กเพื่อนบ้านใกล้เคียง Conceria Yankee หรือโรงฟอกแยงกี้นั่นเองครับ โดยโรงฟอกแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านการผลิตหนังกลับวินเทจ Yankee Suede โดดเด่นด้วยการฟอกที่ทำให้ได้สีสันและพื้นผิวที่มีเอกลักษณ์ หนังกลับจากที่นี่มีความนุ่ม ทนทาน และดูคลาสสิกเหมาะสำหรับสินค้าเครื่องหนังคุณภาพระดับสูง และคอลเลกชันรองเท้า Flex Walk จาก Berwick ก็มีการใช้หนังกลับ Yankee ถึงอีกหลากหลายเฉดสีเช่นกันครับ
courtesy / conceria yankee
หนังกลับจากโรงฟอกแยงกี้ มีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแฟชั่นระดับสูง เนื่องจากการใช้วิธีการฟอกหนังด้วยวิธีธรรมชาติ (Vegetable Tanning) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการฟอกด้วยโครม การฟอกด้วยแทนนินจากธรรมชาติ เช่น เปลือกไม้ ช่วยให้ผิวหนังมีความคงทนมากขึ้นและพัฒนาไปตามกาลเวลา กระบวนการนี้ช้าแต่ละเอียดอ่อน ทำให้หนังกลับจาก Conceria Yankee มีพื้นผิวและสีที่เข้มข้นและมีชีวิตชีวา สีของหนังกลับยังคงสวยงามและคงทนตลอดอายุการใช้งาน และพัฒนา Patina ที่ดูมีเอกลักษณ์ได้ดีเมื่อเวลาผ่านไปครับ
แม้ว่า Conceria Opera และ Conceria Yankee จะตั้งอยู่ใกล้กันและแชร์ลูกค้ากลุ่มเดียวกัน แต่ทั้งสองโรงฟอกมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน Opera โดดเด่นด้านนวัตกรรมการฟอกหนังที่ทนต่อสภาพอากาศ ขณะที่ Yankee เน้นไปที่การผลิตหนังกลับที่มีเสน่ห์แบบคลาสสิก การอยู่ร่วมกันของทั้งสองโรงฟอกสะท้อนถึงความเข้มแข็งของวัฒนธรรมการฟอกหนังในภูมิภาคทัสคานีที่อิตาลี ซึ่งทำให้ที่นี่ขึ้นแท่นเป็นศูนย์กลางการผลิตหนังกลับคุณภาพสูงระดับโลกได้อย่างง่ายดายไปโดยปริยายเลยนะครับ
มาถึงตรงนี้ หากท่านผู้อ่านท่านใดพอคุ้นเคยดีกับหนังกลับกันอยู่แล้ว คิวเรทแอนด์โคก็จะขอเรียนเชิญกันไปช้อปต่อกันได้เลยนะครับ Happy Shopping!
แต่ถ้าหากว่าท่านผู้อ่านท่านไหนอยากเรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตหนังกลับตั้งแต่เริ่มจนจบพอให้ได้ไอเดีย ก็สามารถตามมาอ่านกันต่อได้ทางนี้เลยนะครับ
courtesy / conceria opera
หนังกลับ (Suede-ซูเวด) นั้นทำมาจากส่วนหนึ่งของหนังที่เรียกว่า corium ซึ่งเป็นชั้นย่อยใต้หนังแท้ การผลิตหนังกลับเกิดจากการแยกหนังแท้ออกเป็นสองส่วน (Split Suede) โดยส่วนที่เป็นหนังกลับคือด้านในของหนัง หลังจากนั้นหนังก็จะถูกขัดให้เกิดผิวสัมผัสที่นุ่มลื่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนังกลับครับ
การผลิตหนังกลับนั้นผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนที่ซับซ้อนและพิถีพิถัน เพื่อให้ได้หนังกลับที่มีคุณภาพและคงความสวยงามไว้ในทุก ๆ ขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรกที่ต้องเตรียม “หนังดิบ” หรือวัตถุดิบจากสัตว์ ซึ่งจะถูกตัดแต่งและล้างทำความสะอาดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่กระบวนการผลิตหนัง
ในขั้นตอนต่อมา “การขูดผิวหนัง” (Shaving) จะถูกทำเพื่อปรับให้หนังมีความหนาที่สม่ำเสมอ และเตรียมผิวให้พร้อมรับการย้อม
ขั้นตอนต่อไปคือ “การย้อมหนัง” (Dye Drum) คือการที่หนังถูกนำไปย้อมในถังย้อมสี เพื่อให้หนังได้สีที่เข้มลึกและสวยงาม
จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการ “การยืดหนัง” (Horsing) เพื่อลดรอยยับและทำให้หนังมีพื้นผิวที่เรียบเนียน
ต่อมาคือ “การตั้งค่า” (Sammying) ซึ่งจะช่วยปรับหนังให้มีความเรียบและขจัดน้ำส่วนเกิน
จากนั้น “การอบแห้ง” (Tunnel Dry / Hang Dry / Drum Dry) หนังอาจถูกนำไปอบในอุโมงค์หรือแขวนให้แห้งอย่างช้า ๆ หรืออบในถังดรัมเพื่อให้หนังคงรูปตามที่ต้องการ
ต่อมาก็คือ “การขึงหนัง” (Toggling) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หนังถูกยืดและขึงให้เรียบเพื่อเตรียมสำหรับการขัด
ในขั้นตอนถัดมา “การขัดหนัง” (Buffing) จะทำให้พื้นผิวของหนังกลับมีความนุ่มเนียนเป็นพิเศษ
สุดท้าย “การเคลือบผิว” (Finishing) จะเป็นขั้นตอนปิดท้ายที่ช่วยป้องกันหนังกลับจากความชื้นหรือสิ่งสกปรก พร้อมกับเพิ่มความทนทานให้หนัง ทำให้หนังกลับสามารถใช้งานได้ในระยะยาว
ทั้งหมดนี้จึงเป็นคำตอบว่า “ทำไมในปัจจุบัน หนังกลับได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้หนังกลับในปัจจุบันไม่เพียงแต่ทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่ยังสามารถป้องกันน้ำได้ดี เทียบเท่าหรือแม้กระทั่งดีกว่าหนังประเภทอื่น ๆ” นั่นเองครับ